4 ไอเทมลดหมองให้น้องสายฉีด… ให้กลับมาใสวิ้งปิ๊งเหมือนได้ของใหม่

4 ไอเทมลดหมองให้น้องสายฉีด… ให้กลับมาใสวิ้งปิ๊งเหมือนได้ของใหม่ กับของหาง่ายราคาประหยัดฉบับสามัญประจำบ้านกันครับ

ไอเทมแรก น้ำส้มสายชู เหมาะกับการขจัดคราบสกปรกทั่วไป มีขั้นตอนง่าย ๆ

  1. เทน้ำส้มสายชูในอ่างหรือกะละมังให้มิดพอที่จะแช่หัวฉีดชำระได้ หากเป็นสายฉีดชำระที่ถอดหัวฉีดไม่ได้ให้เทน้ำส้มสายชูใส่ถุงพลาสติกแล้วเอาหัวฉีดสายชำระใส่ในถุงพลาสติกแล้วก็มัดปากถุงเลยครับ
  2. แช่ทิ้งไว้มากกว่า 30 นาที
  3. ล้างด้วยน้ำสะอาด ใช้แปรงสีฟันเก่าขัดถูส่วนที่มีคราบสกปรกเกาะติดอยู่ ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง แล้วใช้ผ้าแห้งนุ่ม ๆ เช็ดสายฉีดชำระอีกที เป็นอันเรียบร้อยครับ

ไอเทมที่ 2 เบคกิ้งโซดา เหมาะกับการขจัดคราบฝังแน่น เช่น คราบหินปูน  ใช้ร่วมกับน้ำส้มสายชูครับ ขั้นตอนตามนี้เลย

  1. ผสมเบคกิ้งโซดา 1/3 ถ้วยตวง กับ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง ลงในอ่างหรือกะละมัง คนให้เข้ากัน หากเป็นสายฉีดชำระที่ถอดหัวฉีดไม่ได้ให้ใช้ถุงพลาสติกเหมือนไอเทมที่ 1 ได้ครับ
  2. แช่ทิ้งไว้ 2-3 ชม.
  3. ล้างด้วยน้ำสะอาด ใช้แปรงสีฟันเก่าขัดถูส่วนที่มีคราบสกปรกเกาะติดอยู่ ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง แล้วใช้ผ้าแห้งนุ่ม ๆ เช็ดสายฉีดชำระไอเทมที่ 3 ยาสีฟัน ยี่ห้อไหนได้หมด เหมาะกับการทำความสะอาดสายฉีดชำระที่เป็นยาง หรือมีชิ้นส่วนที่เป็นยาง ที่มีคราบเหลืองและหินปูนเกาะอยู่ มีขั้นตอนตามนี้ครับ
    1. บีบยาสีฟันขนาดเท่าเหรียญ 5 บาท ในจุดที่มีคราบสกปรก แล้วใช้แปรงสีฟันเก่าขัดถูจนกว่าคราบจะหมด
    2. ล้างด้วยน้ำสะอาด และเช็ดด้วยผ้าแห้งนุ่มๆ อีกครั้ง ก็เรียบร้อยครับ

ไอเทมที่ 4 มะนาว  ใช้ร่วมกับน้ำส้มสายชู เหมาะกับการขจัดคราบสกปรกทั่วไป ขั้นตอนตามนี้เลย

  1. ผสมน้ำมะนาว 1/3 ถ้วยตวง กับ น้ำส้มสายชู 400 ml ลงในอ่างหรือกะละมังคนให้เข้ากัน หากเป็นสายฉีดชำระที่ถอดหัวฉีดไม่ได้ให้ใช้ถุงพลาสติกเหมือนไอเทมที่ 1 ได้ครับ
  2. แช่ทิ้งไว้ 12 ชม.
  3. ล้างด้วยน้ำสะอาด ใช้แปรงสีฟันเก่าขัดถูส่วนที่มีคราบสกปรกเกาะติดอยู่ ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง แล้วใช้ผ้าแห้งนุ่ม ๆ เช็ดสายฉีดชำระอีกที แค่นี้รู้เรื่อง !!

 

เพียงเท่านี้ ก็เปลี่ยนสายฉีดชำระเก่าให้เหมือนใหม่ได้ละครับ เพื่อน ๆ สะดวกไอเทมไหนก็จัดได้ตามชอบ หรือมีเคล็ดลับใหม่ ๆ นอกเหนือจากนี้ ก็มาแชร์กันได้ที่ใต้โพสต์นี้เลยครับ

 

 

วิธีติดตั้งลูกลอย สำหรับแทงค์น้ำที่ถูกวิธี

ติดตั้งลูกลอยใครว่ายาก

วันนี้ประปาแมนมาแนะนำวิธีการติดตั้งลูกลอย สำหรับแทงค์น้ำกันครับว่า ติดอย่างไรจึงจะถูกวิธี เพราะเพื่อนๆ บางคนนำลูกลอยไปติดแล้วพบว่ามีน้ำรั่วบริเวณข้อต่อท่อ หรือบางครั้งก็เจอปัญหาว่าลูกลอยไม่ตัดน้ำหลังจากติดตั้งลูกลอยแล้ว นั่นอาจมีสาเหตุมาตั้งแต่ตอนเริ่มติดตั้งลูกลอยกันเลยครับ งั้นวันนี้ประปาแมนมาแนะนำจุดที่ต้องใส่ใจเมื่อต้องติดตั้งลูกลอยสำหรับแทงค์น้ำกัน 6 ขั้นตอน ดังนี้

 

  1. คลายเกลียวลูกบอลออกจากก้านลูกลอย (หมุนทวนเข็มนาฬิกา)
  2. ใช้เทปพันเกลียวพันบริเวณเกลียวที่หางของลูกลอย (พันตามเข็มนาฬิกาเพื่อไม่ให้เทปพันเกลียวคลายตอนขันเข้ากับข้อต่อ) ใช้มือขันลูกลอยเข้ากับข้อต่อจนรู้สึกว่าแน่นตึงมือ
  3. ใช้ประแจขันบริเวณตัวลูกลอย (อย่าขันแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ข้อต่อแตก ในกรณีที่เป็นข้อต่อ PVC แต่ถ้าขันหลวมเกินไปจะทำให้น้ำรั่วบริเวณข้อต่อได้)
  4. ขันให้ตัวลูกลอยตั้งฉากกับพื้น (ถ้าตัวลูกลอยเอียงจะมีผลต่อทำให้ลูกลอยไม่ตัดน้ำ)
  5. ขันลูกบอลเข้ากับก้านลูกลอยให้ติดแน่นกับก้าน (หมุนตามเข็มนาฬิกา)
  6. ทดสอบการเปิด-ปิด ของลูกลอย

 

ลองทำดูกันนะครับ หากติดขัดตรงไหน หลังไมค์มาปรึกษาได้เลย SANWA ยินดีให้บริการครับ

สปริงฟุตวาล์วในบ่อหรือถังพักน้ำ ควรติดตั้งที่ความลึกเท่าไร

สำหรับการติดตั้ง สปริงฟุตวาล์ว ในบ่อหรือถังพักน้ำ ความลึกของท่อดูดมีผลต่อประสิทธิภาพการดูดน้ำของปั๊มน้ำด้วยเช่นกันนะครับ

แล้วความลึกเท่าไรจึงจะให้ปั๊มน้ำทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ??

#SANWA มีวิธีคำนวณมาฝาก ด้วยสูตร 4D ครับ

 

ก่อนอื่น ให้ทดไว้ก่อนว่า —> D = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อดูด

 

ระยะความลึกของท่อดูดที่เหมาะสมนั้น…

 

  1. จากผิวน้ำถึงหัวกะโหลกฟุตวาล์วควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 4D

เช่น เส้นผ่าศูนย์กลางท่อดูด = 5 cm. ระยะความลึก = 5 cm. x 4 = 20 cm.

ดังนั้น ความลึกจากผิวน้ำลงมาถึงหัวกะโหลกฟุตวาล์วต้องไม่น้อยกว่า 20 cm.

 

  1. ระยะก้นบ่อถึงปลายหัวกะโหลกฟุตวาล์ว ต้องไม่น้อยกว่า 1D

เช่น เส้นผ่าศูนย์กลางท่อดูด = 5 cm. ระยะความลึก = 5 cm. x 1 = 5cm.

ดังนั้น ระยะก้นบ่อถึงปลายหัวกะโหลกฟุตวาล์ว ต้องไม่น้อยกว่า 5 cm.

 

คำนวณด้วยวิธีนี้ การติดตั้งสปริงฟุตวาล์วในบ่อหรือถังพักน้ำให้ได้ความลึกที่เหมาะสมก็ง่ายนิดเดียวครับ

การติดตั้งเช็ควาล์วสำหรับอาคารสูง

อาคารสูงติดตั้งเช็ควาล์วแบบไหนดี???

 

เป็นคำถามที่เข้ามาบ่อยเลยทีเดียว เเต่ก่อนอื่นเรามารู้จักระบบจ่ายน้ำประปาสำหรับอาคาร ทั้ง 3 แบบก่อนครับ

  1. ระบบจ่ายน้ำประปาขึ้น (Up Feed Distribution System)

ใช้กับแรงดันน้ำไม่เกิน 2 บาร์ นิยมใช้กับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่สูงไม่เกิน 2 ชั้น

  1. ระบบจ่ายน้ำประปาลง (Down Feed Distribution System)

อาศัยหลักการแรงโน้มถ่วงของโลก โดยใช้ปั๊มน้ำสูบขึ้นไปเก็บที่แท็งก์น้ำบนดาดฟ้า แล้วจ่ายน้ำลงมายังชั้นต่างๆ ของอาคาร เหมาะกับอาคารที่สูงตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป แต่ไม่เกิน 12 ชั้น เพราะยิ่งสูงมากแรงดันน้ำจากการปล่อยน้ำลงมาจะรุนแรงมากขึ้น

  1. ระบบจ่ายแบบผสม (Mix Distribution System)

ระบบจ่ายน้ำประปาทั้งแบบขึ้น และลง ในกรณีที่ระบบใดระบบหนึ่งเกิดขัดข้อง ก็สามารถเลือกใช้อีกระบบได้ แต่มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงด้วย

 

………………………………………………………………………..

 

ในวันนี้ SANWA ก็มีตัวอย่างการติดตั้งเช็ควาล์วสำหรับอาคารสูง 8 ชั้น ที่มีระบบการจ่ายน้ำประปาลง (Down Feed Distribution System) และเดินท่อด้วยระบบบายพาส มาฝากกัน ดูคำอธิบายประกอบภาพเลยนะครับ

 

  1. ดูแนวเส้นท่อ (แนวตั้งหรือแนวนอน) และเลือกจุดติดตั้งหลังปั๊มน้ำเพื่อป้องกัน Water Hammer อย่างละ 1 ตัว ถ้าเส้นท่อหลังปั๊มน้ำอยู่ในแนวตั้งควรเลือกใช้สปริงเช็ควาล์ว แต่หากอยู่ในแนวนอนสามารถเลือกใช้ได้ทั้งสวิงเช็ควาล์วและสปริงเช็ควาล์ว

 

  1. ระบบบายพาส 2 จุด (จากภาพตัวอย่าง)

2.1 ระบบบายพาสบริเวณจุดจ่ายน้ำด้านล่าง ใช้ในกรณีที่ปั๊มน้ำเสียหรือไฟฟ้าดับ การใช้งานเช็ควาล์วในระบบบายพาส เพื่อบังคับทิศทางการไหลของน้ำให้เป็นทิศทางเดียว สามารถเลือกใช้ได้ทั้งสวิงเช็ควาล์วและ สปริงเช็ควาล์ว ขึ้นอยู่กับแนวการติดตั้งเส้นท่อ

2.2 ระบบบายพาสจุดปล่อยน้ำด้านบน ในกรณีที่ปั๊มน้ำเสียหรือไฟฟ้าดับ จ่ายน้ำจากแทงค์น้ำบนดาดฟ้าลงมาชั้น 8,7 และ 6 การใช้เช็ควาล์วในจุดนี้ สามารถเลือกใช้ได้ทั้งสวิงเช็ควาล์วและสปริงเช็ควาล์ว ขึ้นอยู่กับแนวการติดตั้งเส้นท่อ

 

A , B = เช็ควาล์วจุดนี้ทำหน้าที่ป้องกันการเกิด Water Hammer ใช้ได้ทั้งสวิงเช็ควาล์วและสปริงเช็ควาล์ว

C = เช็ควาล์วสำหรับระบบบายพาส ปั๊มน้ำบนดาดฟ้า จุดนี้ทำหน้าที่บังคับทิศทางน้ำให้ไหลไปทางเดียว คือ จ่ายน้ำจากแทงค์น้ำบนดาดฟ้าลงมาที่ชั้น 8 , 7 และ 6 จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อปั๊มน้ำเสีย หรือไฟฟ้าดับ ใช้ได้ทั้งสวิงเช็ควาล์วและสปริงเช็ควาล์ว

D = เช็ควาล์วสำหรับระบบบายพาส ปั๊มน้ำชั้นล่าง จุดนี้ทำหน้าที่บังคับทิศทางน้ำให้ไหลไปทางเดียว คือ จ่ายน้ำจากการประปาผ่านมาตรวัดน้ำ มาที่ชั้น 1 เมื่อปั๊มน้ำเสียหรือไฟฟ้าดับ ใช้ได้ทั้งสวิงเช็ควาล์วและสปริงเช็ควาล์ว

 

หวังว่าคงจะได้ไอเดียในการติดตั้งกันบ้างนะครับ

พี่ช่างต้องไม่จนมุม

ปัญหาหน้างานเรื่องพื้นที่ติดตั้งแคบ หาอุปกรณ์ยาก คือสิ่งที่พี่ช่างประปาต้องเจอ  เพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าว  SANWA ขอแนะนำมินิบอลวาล์วฉาก ผผ. ตัวเล็กกะทัดรัดมีความยาวเพียง 7 cm. ที่ออกแบบให้ตัวมินิบอลวาล์วทำมุมฉาก 90 องศาเพื่อให้ติดตั้ง-ซ่อม-เปลี่ยน-ง่าย โดยไม่ต้องใช้ข้อต่อข้องอเพิ่ม แก้ปัญหาหน้างานที่มีพื้นที่แคบได้อย่างลงตัว

งานเปลี่ยน-ซ่อม ที่มีพื้นที่จำกัด เช่น ช่องว่างระหว่างชักโครกและผนังมีน้อย  มินิบอลวาล์วฉาก ผผ. ด้วยที่เล็กกะทัดรัด มีความยาวเพียง 7 cm. ลำตัวทำมุมฉาก 90 องศา  ทำให้สามารถติดตั้งได้ในพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี

งานเปลี่ยน-ซ่อม ที่ต้องใช้ร่วมกับสายน้ำดี (ของเดิม) มินิบอลวาล์วฉาก ผผ. ก็สามารถติดตั้งเข้ากันได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงเพิ่ม

การเก็บงานที่ต้องซ่อนวาล์วเพื่อความสวยงามไม่ให้เกะกะต่อการใช้งาน มินิบอลวาล์วฉาก ผผ. มีขนาดเล็กกะทัดรัด ช่วยเก็บซ่อนงานติดตั้งได้ลงตัว

เมื่อเจอปัญหาหน้างาน จำเป็นต้องปรับอุปกรณ์ให้เอียงซ้าย-ขวา ตามพื้นที่หรือตามความยาวของสายน้ำดี มินิบอลวาล์วฉาก ผผ. สามารถติดตั้งได้ทั้งแนวตั้ง แนวนอน หรือเอียง ช่วยให้การติดตั้งง่ายและช่วยแก้ปัญหาหน้างานได้ดี

สำหรับงานที่ต้องใช้วาล์วติดกับผนัง มินิบอลวาล์วฉาก ผผ. สามารถติดตั้งเข้ากับข้อต่อที่ผังในผนังได้เลย ด้วยตัวลำตัวที่ทำมุมฉาก 90 องศา จึงใช้พื้นที่น้อยกว่าสต๊อปวาล์วแบบ 2 ทั่วไป

เปลี่ยนสต๊อปวาล์วใหม่ เลือกใช้เกลียวแบบไหนดี

ไม่อยากเลือกซื้อผิด มาอ่านตรงนี้สักนิดนะครับ

วิธีง่าย ๆ ในการเลือกซื้อเกลียวสต๊อปวาล์วให้ถูกต้องใช้ได้กับอุปกรณ์และข้อต่อที่บ้าน

  1. สำรวจจุดที่ต้องติดตั้งสต๊อปวาล์ว ติดตั้งกับอุปกรณ์อะไรบ้าง กี่ชิ้น
    2. ดูจุดจ่ายน้ำ ข้อต่อท่อประปาว่าใช้เกลียวแบบไหน ข้อต่อท่อประปามีเกลียว 2 แบบ คือ แบบเกลียวนอก (เกลียวตัวผู้) และ แบบเกลียวใน (เกลียวตัวเมีย) จากรูปตัวอย่างเป็นข้อต่อแบบเกลียวในฝังผนังครับ
    3. ต้องการต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงกี่ชิ้น กรณีต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วง 1 ชิ้น เลือกสต๊อปวาล์วแบบทางน้ำออก 1 ทาง ต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วง 2 ชิ้น เลือกสต๊อปวาล์วแบบทางน้ำออก 2 ทาง จากตัวอย่าง ต้องการต่อกับสายน้ำดีชักโครก 1 ชิ้น เลือกสต๊อปวาล์วแบบทางน้ำออก 1 ทาง  และ เกลียวสายน้ำดีเป็นแบบเกลียวใน (เกลียวตัวเมีย)4. เลือกเกลียวสต๊อปวาล์วให้ตรงข้ามกับเกลียวข้อต่อท่อประปา และ เกลียวของสายน้ำดี จากรูปตัวอย่าง
    ข้อต่อท่อประปา และ สายน้ำดีที่บ้านเป็นแบบเกลียวใน(เกลียวตัวเมีย)ทั้งคู่ เลือกใช้สต๊อปวาล์วแบบน้ำออก 1 ทาง เกลียวแบบเกลียวนอกทั้ง 2 ด้านครับ แนะนำเลือกใช้เป็น มินิบอลวาล์ว (ผผ.) SANWA  , มินิบอลวาล์ว ฉาก (ผผ.) SANWA และ สต๊อปวาล์วเซรามิค 1 ทาง SANWA JET ครับ

 

Tips ง่าย ๆ : อุปกรณ์ประปาที่บ้านเกลียวแบบไหน ให้เลือกใช้สต๊อปวาล์วที่เกลียวตรงข้ามเสมอ หรือ ถ่ายรูปจุดติดตั้งหลาย ๆ มุม ไปให้ทางร้านขายวัสดุก่อสร้างช่วยดูก็ได้ครับ

รายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม :

มินิบอลวาล์ว (ผผ) SANWA >> https://bit.ly/2VQOga4

มินิบอลวาล์วฉาก (ผผ) SANWA >> https://bit.ly/3erbaLw

สต๊อปวาล์วเซรามิค 1 ทาง SANWA JET >> https://bit.ly/37vHYPE

งานประปาแบบไหนควรใช้บอลวาล์ว

ก่อนหน้านี้เราเคยแนะนำการใช้ #เช็ควาล์ว กันไปเเล้ว แต่บางท่านอาจจะยังสงสัยว่า เมื่อติดตั้งเช็ควาล์วเเล้ว ทำไมต้องติดบอลวาล์วอีก? เเล้วบอลวาล์ว กับ ประตูน้ำ ใช้แทนกันได้มั้ย?

 

คำตอบคือ อุปกรณ์ต่างๆ ก็มีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันนะครับ สำหรับงานแบบไหนที่ควรใช้บอลวาล์วบ้าง เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่อะไร เรารวบรวมมาให้เเล้วครับ

 

งานประปาที่ต้องใช้บอลวาล์ว มีลักษณะดังนี้

  1. งานที่ต้องการ เปิด-ปิด น้ำ บ่อย ๆ และรวดเร็ว เพราะ เพียงหมุนด้ามจับ หรือก้านโยก เปิด-ปิด ได้ง่ายๆ เพียงหมุน 90 องศา ก็สามารถปิด-เปิด วาล์วได้สุด
  2. งานที่ต้องการปรับอัตราการไหลของน้ำให้แรงหรือเบาได้ตามต้องการ เพราะ การหมุนก้านโยกหรือด้ามจับของบอลวาล์ว ที่ถูกออกแบบมาให้สัมพันธ์กับรูน้ำผ่านของลูกบอลในตัวบอลวาล์ว เช่น ถ้าจะเปิดให้น้ำไหลเบาลง ก็หมุนก้านโยกแค่ 30 – 45 องศา ลูกบอลในบอลวาล์วก็จะเปิดน้อยลงเช่นกัน
  3. งานติดตั้งกับปั๊มน้ำ เพราะ ปั๊มน้ำมีแรงดันสูง การใช้บอลวาล์วทองเหลือง อย่างบอลวาล์วของ SANWA ก็จะสามารถรองรับการใช้งานได้ดี ทนแรงดันน้ำได้ 16 บาร์
  4. งานซ่อมแซมระบบประปาตามจุดต่าง ๆ เพราะการติดตั้งบอลวาล์วจะช่วยอำนวยความสะดวกในการซ่อมแซมระบบประปาเฉพาะจุดได้ เช่น กรณีต้องการซ่อมปั๊มน้ำ การปิดวาล์วของบอลวาล์วจะช่วยหยุดการไหลของน้ำที่จุดซ่อมปั๊มน้ำได้ ไม่กระทบต่อการใช้น้ำจุดอื่น ๆ ภายในบ้าน

ก้านบอลวาล์ว SANWA ช่วยบอกปริมาณน้ำที่ไหล

ก้านบอลวาล์ว ก็เปรียบเสมือนเป็นแกนบังคับ ที่สามารถบอกทิศทางและปริมาณน้ำได้นะครับ

 

เนื่องจากบอลวาล์ว มีกลไก เปิด-ปิด ภายในเป็นลูกบอล โดยที่ตัวลูกบอลจะถูกเจาะรูให้น้ำผ่าน และยึดติดกับก้านโยก ซึ่งออกแบบให้ก้านชี้ไปทางตำแหน่งเดียวกับรูน้ำผ่าน ดังนั้น เมื่อเราโยกก้านก๊อกน้ำชี้ไปทางไหน แสดงว่าทิศทางน้ำจะไหลไปทางนั้นครับ

 

 

วิธีสังเกตทิศทางและปริมาณน้ำไหลจากก้านบอลวาล์วง่ายมาก ๆ

 

  1. ก้านบอลวาล์วชี้ไปตามแนวตัวบอลวาล์ว = รูน้ำผ่านถูกเปิดเต็มที่ = น้ำไหลเต็มพื้นที่ที่ลูกบอลถูกเจาะรูไว้
  2. โยกก้านบอลวาล์วประมาณ 30-45 องศา = รูน้ำผ่านเปิดน้อยลง = น้ำไหลได้ปานกลาง
  3. โยกก้านบอลวาล์วกลับ 90 องศา = รูน้ำผ่านถูกปิด = น้ำจึงไหลผ่านไม่ได้

 

ลักษณะของการบิดหมุนก้านโยกของบอลวาล์ว ก็มีกลไกภายในบังคับเปิด-บิด ลูกบอล ในลักษณะเดียวกันกับก๊อกบอลครับ เพียงแต่บอลวาล์วติดตั้งในแนวเดียวกับเส้นท่อ ส่วนก๊อกบอลติดตั้งปลายเส้นท่อ เข้าใจไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ

ประตูน้ำใช้คู่กับมาตรวัดน้ำ

ประตูน้ำใช้คู่กับมาตรวัดน้ำ

 

ประตูน้ำ หรือ เกตวาล์ว (Gate Valve) ถือเป็นวาล์วอีกชนิดหนึ่งที่ใช้เปิด-ปิดน้ำ ที่มีกันแทบทุกบ้านเลยครับ ลักษณะของประตูน้ำ ภายในจะมีลิ้นเปิด-ปิด ซึ่งเปรียบเสมือนบานประตูที่ตั้งฉากกับทิศทางการไหลของน้ำ และประตูน้ำนี่แหละ ที่เปรียบเสมือนคู่ขาตัวจริงของมาตรวัดน้ำ

 

ยังไงน่ะเหรอ?

 

ก็ด้วยรูปแบบของประตูน้ำที่ใช้พวงมาลัยสำหรับหมุน จึงเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่แคบ และเปิด-ปิดไม่บ่อย อาทิ งานปั๊มน้ำ โดยเฉพาะที่นิยมกันอย่างยิ่ง คือใช้ร่วมกับมาตรวัดน้ำเพราะต้องคล้องลวดผูกตะกั่วร้อยเข้ารูด้านหลังของมาตรวัดน้ำแล้วไปผูกไว้กับพวงมาลัยประตูน้ำ ก็มีลวดตะกั่วคล้องใจกันแบบนี้ จะไม่ให้เป็นคู่ขาตัวจริงกันได้ไงละคร้าบ

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อติดตั้งประตูน้ำ

ประตูน้ำ ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการซ่อม-การจ่ายน้ำที่ทุกบ้านต้องมี แต่จะทำยังไงให้ประตูน้ำใช้งานได้นาน???

 

ประปาแมนจึงมีข้อควรระวังที่เราไม่ควรทำ เมื่อติดตั้งประตูน้ำ มาฝากกันครับ

 

  1. อย่าเปิด-ปิดประตูน้ำหน้ามาตรวัดน้ำโดยไม่จำเป็น เพราะอยู่ในความดูแลของการประปา จะถือว่าผิดกฎหมายได้ครับ ส่วนประตูน้ำหลังมาตรวัดน้ำสามารถเปิด-ปิดได้ ในกรณีเจ้าของบ้านต้องการซ่อมแซมจุดที่ชำรุดหรือน้ำรั่วในระบบท่อประปาภายในบ้าน

 

  1. ไม่ควรหมุนพวงมาลัยเปิด-ปิดแบบไม่สุด เพราะจะทำให้แรงดันน้ำไปกระแทกวาล์วของประตูน้ำภายใน ทำให้แตกหักได้

 

  1. ไม่ควรนำไปติดตั้งในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ระบบน้ำประปา และน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน เพราะจะทำให้อุปกรณ์ภายในของประตูน้ำเกิดการชำรุดเสียหายได้

 

นอกจากนี้ เพื่อดูแลรักษาประตูน้ำให้มีสภาพพร้อมใช้งานเสมอ ประปาแมนขอแนะนำให้เพื่อนๆ หมุนพวงมาลัยประตูน้ำเปิด-ปิดอย่างน้อยปีละ 2–3 ครั้งนะครับ เพื่อป้องกันพวงมาลัยน้ำตาย และช่วยไล่ตะกรันน้ำที่มาเกาะพวงมาลัยกันด้วยนะครับ